เกริ่นนำถึงที่มาของทริปนี้สักนิด
จริงๆหลังจากจบทริปโบรโม่เมื่อปีโน้น พี่กิ๊กก็ตั้งเป้าไว้ว่าจะไปจีนสักที่นี่ล่ะ แล้ว 1 ในนั้นคือ Yading (ย่าติง) แล้วผมก็เปิด Google ดู เออ..ก็สวยดี
แต่ประจวบเหมาะกับว่าซื้อบ้านแล้ว พวกทริปที่เป็นหมื่นๆนี่ก็ต้องคิดหนักพอสมควร ตอนแรกปฏิเสธไปอย่างแน่นอนแล้วว่าไม่ไป
แล้วอะไรดลใจก็ไม่รู้ พอถึงวันจองตั๋วก็กลับจองไปด้วยซะงั้น แล้วทริปนี้ก็บังเกิดขึ้น
เตรียมตัวออกทริป
หาข้อมูลเยอะมาก เพราะที่ย่าติงเนี่ย ข้อมูลน้อย เราก็เจอแต่ แชงกรีล่า ลี่เจียง เมืองอื่นๆที่เราจะไปกัน
ที่กังวลมากที่สุดรู้สึกจะเป็นสภาพอากาศ กลางวันเลขตัวเดียว ตกเย็นๆมืดๆ ก็มีลงไปถึง 0 หรืออาจจะติดลบ กังวลมาก เคยไปญี่ปุ่นก็แค่ 10 องศานิดๆ
ไม่เคยเจอเลขตัวเดียว หรือ 0 องศาเลย ก็จัดเสื้อกันหนาวเพิ่ม ลองจอนเพิ่ม ก็เอาวะไปหาเอาดาบหน้า เสื้อผ้าที่จีนก็มีขายเยอะแยะ
และแล้ว…วันเดินทาง เราก็นั่งเครื่องมาลงที่คุณหมิง หาข้าวกิน ซื้อตั๋วรถนอนไปแชงกรีล่า ขอเล่าข้ามเมืองคุณหมิงไปเลยแล้วกัน
เพราะว่าไม่มีรายละเอียดอะไรเท่าใดนัก เราแค่บินลง และบินกลับแค่นั้นเอง ถึงจะมีเรื่องน่ารักๆระหว่างทางก็เถอะ เดี๋ยวจะช้าไปแชงกรีล่ากัน!
แชงกรีล่า หรือชื่อเก่าคือ เมืองจงเตี้ยน
โอเคมาถึงแล้วแชงกรีล่า แต่รูปที่เห็นนี่คือโซนเมืองเก่านะ จริงๆเราต้องต่อรถบัสจากสถานีขนส่งมาที่นี่ก่อน
แต่การเดินทางมาแชงกรีล่าทำให้เกิดเรื่องน่าตื่นเต้นขึ้น คือ กระเป๋าเป้ของผมมันได้หายไป… ชิบหายแล้ว
พี่เค็งช่วยผมสื่อสารกับเขาก็ได้ความว่าเดี๋ยวจะตามให้ เพราะคิดว่าน่าจะมีคนหยิบผิดไป จริงๆทริปนี้ทั้งทริปรอดตายได้เพราะภาษาจีนของพี่เค็งนี่ล่ะ
คือระหว่างนั้นนอยด์มากนะ เสื้อกันหนาวที่เอาไว้ผจญอากาศที่ย่าติง ลองจอน และเสื้อผ้าเครื่องอาบน้ำทุกอย่าง รวมถึงที่ชาร์ตแบตกล้อง
ถ้าหายทั้งทริปนี่คือกร่อย ถึงจะพอหาซื้อใหม่ได้ก็เถอะ เอาเป็นว่าสักพักจิตใจก็หายนอยด์ ไปเที่ยวกันก่อนดีกว่า
แต่เดี๋ยวก่อน จะเข้าที่พักยังมีอุปสรรคอีก คือมันมีซอยนึงเค้ากำลังขุดท่อทำถนน ทำให้ไม่สามารถเดินเข้าที่พักที่จองไว้ได้
แล้วก็ไม่แจ้งอะไรเรา สุดท้ายต้องทำเรื่องคืนเงินแล้วหาที่พัดใหม่อี๊กกกก
แล้วเราก็ได้ที่พักใหม่ ชื่อว่า Barley Guest House คุณป้าที่นี่ใจดีมาก ช่วยโทรถามเรื่องกระเป๋าให้เราด้วย ^^
ซึ่งข่าวดีก็คือเจอกระเป๋าแล้ว ให้ไปรับช่วง 4-5 โมงที่สถานีนี่ล่ะ ก็สบายใจก่อนเที่ยวแล้ว เย้
แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้อง หิวมาก มื้อแรกของแชงกรีล่าเป็นบะหมี่แบบนี้ล่ะ เสื้อหมูผัดกับซอสเผ็ดนิดๆ มันๆหน่อย ตามสไตล์อาหารเสฉวน
อากาศที่แชงกรีล่านี่ถือว่าหนาวมากเทียบกับเมืองไทยน่าจะบนยอดดอยหน้าหนาวในยามค่ำคืน แต่กลับกันตรงที่ว่านี่มันตอนกลางวัน!
ยังคิดเลยว่าถ้ากระเป๋าหายไปจริงๆ ยังไงก็คงต้องหาซื้อเสื้อกันหนาวใหม่ล่ะ ไม่งั้นที่มีติดตัวไม่รอดแน่ๆ
ท้องอิ่ม เตรียมเดินทางไปเที่ยววัดซงจ้านหลินซื่อ เป็นวัดแบบธิเบตๆ ทำให้ที่นี่เค้าเรียกกันว่าทิเบตน้อยนั่นล่ะ
ยืนรอรถบัส แดดออกก็ยืนตากแดดสิ ไม่เคยอยากยืนตากแดดเท่านี้มากก่อน
อ้อ เล่านิดนึง ประเทศจีนในโซนๆที่พวกผมเที่ยวกัน วัฒนธรรม ศาสนาจะเป็นแบบธิเบตหมดเลย ถามพี่เค็งได้ความมาว่า ตรงนี้มันเคยเป็นของธิเบตล่ะนะ
แล้วจีนก็มาปกครอง เพราะผมดูอาคารบ้านเรือน หรือวัดเนี่ย ไม่มีวัดจีนเลยนะ
นั่งรถมาสักพัก ก็มาถึงแล้ววัดซงจ้านหลินซื่อ หลังคาสีทองอร่ามเตะตามาก คือของจริงสวยกว่าภาพถ่ายนะ มันทองระยิบระยับ
เราก็ต้องเดินขึ้นบันไดไปชมข้างบนกันหน่อย แต่การเดินขึ้นบันไดนั้นไม่ง่ายเลย ไม่ใช้ว่าขั้นบันไดเยอะนะ แต่เป็นสภาพอากาศต่างหาก
เคยอ่านๆมาว่ายิ่งสูงออกซิเจนมันจะเบาบาง ซึ่งแชงกรีล่าเนี่ย อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3000 กว่าเมตรเลยนะ คือสูงกว่าดอยอินทนนท์บ้านเราอีกนะ
ตอนแรกก็ไม่เชื่อหรอก มันจะเหนื่อยง่ายนะ หายใจไม่ทันนะ พอมาเจอของจริง รู้แล้วล่ะว่าเป็นยังไง บันไดเดินได้ 10 ขั้นเริ่มหายใจไม่ทัน เจ็บหน้าอก
หัวใจบีบแรงมาก ต้องเดินช้าๆ เรียกว่าใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์เลยล่ะ บ้าจริง
วิวถ่ายจากระหว่างเดินขึ้นไปข้างบน จริงๆคือเหนื่อยแหละ เนียนว่าหยุดถ่ายรูป 5555 ได้เห็นภูเขาหิมะเป็นครั้งที่สองของชีวิตด้วย (ครั้งแรกคือฟูจิ)
คณะผู้ร่วมททริปบางส่วน ขวาสุดพี่เค็งผู้มีพระคุณ กราบบบบ
ตัววัดของจริงใหญ่อลังการนะ สวยดี แต่ผมเป็นคนไม่อินกับพวกวัดอะไรแบบนี้เท่าไร เดินดูๆวนๆสักพักก็หันไปถ่ายวิวอีกด้านแทน ฮ่าาา
มองมาอีกด้าน จะเป็นทะเลสาป ซึ่งน้ำช่วงนี้คงน้อยไปหน่อย แต่เห็นดงตันไม้สีเหลืองๆนั่นไหม ตรงนั้นเค้าทำเป็นทางเดิน trail รอบทะเลสาปแหละ
เดี๋ยวเราจะลงไปตรงนั้นกัน
ลงมาทางเดิน Trail แล้ว เจอวัวรายล้อม ตัวเล็กใหญ่ปะปนกันไป วัวที่นี่ขนยาวนะ ไม่เหมือนกันกับที่บ้านเรา แดดออกพอดีเยี่ยมเลยจะได้รูปสวยหน่อย
สถูปต่างๆ ควันพวยพุ่ง ไม่แน่ใจว่ากำลังไหว้กัน หรือว่าเผาฟางข้าวอยู่ ฮาาาา
เรามาช่วงที่ใบไม้เริ่มๆเปลี่ยนสีพอดี แต่ว่ายังไม่พีค ถ้ามาช้าอีกสักอาทิตย์นึงน่าจะสวยกว่านี้ (และหนาวกว่านี้ด้วย) แต่แค่นี้ก็สวยมากแล้วล่ะ
น้องวัว
เดินมาที่ทะเลสาปทำให้เราได้เห็นวิวดีๆ ถ่ายขึ้นไปเห็นตัววัด เบื้องหน้าเป็นทะเลสาป สวยดีฮะ
มีเป็ดด้วย ปกติได้ถ่ายแค่หงส์ที่ปางอุ๋ง เปลี่ยนเป็นเป็ดกับวัด ซงจ้านหลินซื่อก็สวยดี 555
ทางเดิน trail เสียดายที่เวลามีไม่พอเดินให้ครบรอบ เพราะต้องงกลับไปเอากระเป๋า เสียใจนิดๆนะเนี่ย แง
กลับมาเก็บของ เดินเล่นในเมืองเก่า บนนยากาศดีนะ ที่เห็นกำลังก่อสร้างเยอะๆ นั่นก็เพราะว่าก่อนหน้านี้มีข่าวว่าเมืองแชงกรีล่ามีไฟไหม้ใหญ่
ก็นั่นล่ะฮะ เค้ากำลังสร้างส่วนที่โดนไหม้ไปขึ้นมาใหม่ล่ะ
สถูปกลางเมือง สถูปนี้เห็นในรีวิวแทบจะทุกอันเลยขอถ่ายมาบ้าง จริงๆตอนดึกก็เล็งไว้ว่าจะออกมาถ่ายดาวกับสถูปนี้ แต่พอถึงเวลา
มันหนาวมาก หนาวชิบหาย ไม่มีใครอยากออกจากเตียง ทุกคนจึงนอนอย่างสงบ เช้าแล้วค่อยตื่นล่ะนะ 555
ลืมบอกไปว่าที่นี่ตกเย็นๆก็น่าจะเลขตัวเดียวแล้วล่ะ หนาวมาก
ออกมาเดินเล่นยังไม่วายหาที่ถ่ายรูป ในตัวเมืองก็มีวัดครับ ตั้งอยู่สูงด้วย แต่เดินขึ้นบันไดไปก็เหนื่อยนึงล่ะ วิวมองลงมาเห็นเมืองแชงกรีล่าสวยจริงๆล่ะ
เดินขึ้นไปทันแสงเย็นจังหวะสุดท้ายพอดี ก็เลยได้รูปสวยๆติดลงมาก่อนจะไปกินข้าว
ถ่ายลอดธงมนต์ไปให้ถึงเจดีย์ 🙂
ยังแอบเห็นสถูปที่เราเดินผ่านเมื่อกี้ด้วย
เดินลงมาตรงลานกว้างหน้าวัด ก็เจอชาวบ้านเค้าออกมาทำกิจกรรมกัน กิจกรรมนั้นคือ เต้นรำครับ มีเปิดเพลงแล้วเต้นเป็นวงกลม
น่ารักมาก คิดว่าน่าจะทำให้ร่างกายอบอุ่นและแข็งแรงในอากาศที่หนาวแบบนี้ล่ะ เห็นฝรั่งหลายคนก็ไปเต้นด้วย เอาไว้จะลงคลิปให้ดูละกันครับ ขอรวบรวมก่อน
และค่ำคืนที่แชงกรีล่าก็ได้จบไป ตื่นมาเตรียมตัวกับวันที่นั่งรถโหดที่สุดเพื่อไปเมืองเต้าเฉิง ในตอนหน้า
และนี่ยังแค่เริ่มต้น ความโหด สนุกสุดเหวี่ยงของทริปนี้ยังเหลืออีก 8 วันเต็มๆ บายยยยย
ความประทับใจจากแชงกรีล่า
-เป็นบ้านเมืองเก่าๆ ชอบบบรรยากาศดี น่านั่งกินเบียร์ (จริงๆก็กินไปขวดนึง)
-ถนนหนทางดีมาก (จริงๆที่จีนดีกว่าบ้านเราทุกเมืองเลยนะ เจริญกว่าเยอะ)
-ได้สัมผัสวัฒนธรรมแบบธิเบตที่แรก ชอบเวลาเราได้เจออะไรใหม่ๆในครั้งแรกเนี่ย
-หม้อไฟเนื้ออร่อย แต่อาหารที่นี่เผ็ดแสบลิ้นชาทุกอย่าง เพราะเครื่องเทศบ้านเค้านี่ล่ะ
-อากาศดี ลมเย็น ถึงขั้นหนาว แต่พอแดดออกแล้วสวยมาก
จบนะ
ปล. อีกนิดนึง แชงกรีล่า ไม่ได้อ่านว่า (แชง-กรี-ล่า) นะ ถ้าไปที่จีนเค้าจะไม่รู้จัก ต้องพูดว่า (แชง-ก่า-รี-ล่า)